เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๑๕ เม.ย. ๒๕๕๙

เทศน์เช้า วันที่ ๑๕ เมษายน ๒๕๕๙

พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

 

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

ตั้งใจฟังธรรมะเนาะ ตั้งใจฟังธรรมะ สิ่งที่จะออกจากธรรมต้องออกมาจากหัวใจ ถ้าหัวใจที่ประเสริฐแล้ว สิ่งที่ออกจะเป็นธรรม จะเป็นสัจธรรมที่สะอาดบริสุทธิ์ แต่จิตใจที่หมักหมม จิตใจที่มีแต่ตัณหาความทะยานอยากแสดงธรรมออกมามันมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง ถ้าเบื้องหน้าเบื้องหลัง เบื้องหน้าก็เป็นผู้ที่เสียสละ เบื้องหลังคอยแต่รอจังหวะจะหยิบฉวยโอกาสไง แต่เบื้องหน้า เบื้องหน้าเป็นผู้เสียสละ ถ้าเบื้องหลัง ถ้าจิตใจผู้ที่ไม่เป็นธรรม

ถ้าจิตใจที่เป็นธรรมนะ จิตใจที่เป็นธรรม จิตใจเป็นความสะอาดบริสุทธิ์จากหัวใจนั้น ความสะอาดบริสุทธิ์จากหัวใจนั้น กว่าที่มันจะสะอาดบริสุทธิ์ได้มันต้องมีมรรค มีญาณ มีเหตุมีผลในหัวในอันนั้น ถ้าไม่มีเหตุมีผลในหัวใจดวงนั้น มันจะทำให้สะอาดบริสุทธิ์เป็นไปไม่ได้ เพราะอะไร เพราะคนเกิดมามีอวิชชา คนเกิดมามันมีอวิชชาคือมีความไม่รู้มันถึงได้พาเราเกิดมาไง

พอเราเกิดมานะ เกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนาใช่ไหม เกิดมาพบพระพุทธศาสนา เราเกิดมานี่เราภูมิใจว่าเราเป็นมนุษย์เป็นสัตว์ประเสริฐไง เป็นสัตว์ประเสริฐแล้วเราได้ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เราก็ถือตัวถือตนว่าเรามีความรู้ ความรู้ของเราน่ะ ความรู้ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่าไปสอนคนอื่น แต่ตัวเองไม่เคยสอนตัวเองเลยไง เห็นไหม

ถ้าจิตใจมันไม่สะอาดบริสุทธิ์ มันไม่สะอาดบริสุทธิ์เพราะอะไร เพราะมันมีอวิชชา มีความไม่รู้ในตัวมันเอง ไปศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาเที่ยวไปสอนคนอื่น เที่ยวไปชี้นำคนอื่นไง แต่ในหัวใจของตนไม่เคยดูแล ไม่เคยรักษาหัวใจของตนไง นั่นน่ะหัวใจที่ไม่สะอาดบริสุทธิ์พูดสิ่งใดไปมันมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง

ถ้ามันมีความสะอาดบริสุทธิ์ จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง ความสะอาดบริสุทธิ์เกิดมาจากไหน เกิดมาจากมรรคจากผลนั้น เกิดมาจากศีล สมาธิ ปัญญาที่ได้สะสมขึ้นมา ได้ทำลายอวิชชาในใจดวงนั้น อวิชชาในใจดวงนั้นมันได้สลายไปจากใจดวงนั้น มันถึงเป็นความสะอาดบริสุทธิ์ ความสะอาดบริสุทธิ์นี้เกิดขึ้นมา เกิดขึ้นมาด้วยความตรากตรำ

คนเราจะล่วงพ้นทุกข์ด้วยความเพียร ความเพียร ความวิริยะ ความอุตสาหะอันนั้นได้กระทำอันนั้น ได้กระทำอันนั้นจนใจอันนั้นมันสะอาดบริสุทธิ์ขึ้นมาได้ ความสะอาดบริสุทธิ์นี้ขึ้นมามันมีแต่ความเมตตา คำว่า เสียสละ” เสียสละเพื่อน้ำใจต่อกัน

ให้เสียสละ เสียสละ เวลาเสียสละ ดูสิ พระเขาก็ตักใส่บาตร ทำไมของเราล้อมไปหมดด้วยขนมนมเนย

ขนมนมเนยเป็นการเสียสละของเรา เราเป็นหัวหน้า เราต้องดูแลไง เราดูแลของเรา สิ่งที่เราเก็บของเราไว้ เราเก็บของเราไว้ เพราะมันเป็นน้ำใจของเรา เราเอาไว้แจกเด็ก เราจะแจกเด็ก แจกเด็กตามโรงเรียนประชาบาล แจกเด็กที่ขัดสน เด็กที่มันไม่มีจะกิน เวลาเราเอาไปแจก เราให้คนไปแจก โอ้โฮ! เด็กมันได้ มันมีแต่ความชื่นใจของมัน มันฝากขอบคุณมา เด็กๆ มันฝากขอบคุณมา มันไม่เคยเห็นไม่เคยพบของอย่างนี้

นี่เราไปแจกเด็ก แจกเด็กไง ถ้าไปแจกเด็กๆ ทำไมหลวงพ่อไม่สั่งซื้อจากโกดังมาแจกล่ะ เอาจากโรงงานมาแจกก็ได้ ทำไมต้องมาฉกฉวยของคนอื่นไปแจกล่ะ

นี่ไง เพราะความเห็นแก่ตัวหรือความไม่เห็นแก่ตัวไง เวลาจะเอาหน้า เอาของคนอื่นไปเอาหน้าใช่ไหม ของของคนอื่นไง ของคนที่เสียสละ แล้วตัวเองก็มาหยิบฉวยไปเสียสละให้คนอื่นใช่ไหม...นี่เวลาคนคิดคิดไปอย่างนั้นไง แต่เราเห็นว่ามันเป็นประโยชน์ไง

เวลามันเป็นประโยชน์ เห็นไหม เวลาเราบิณฑบาตนะ เวลาเราศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระต้องมักน้อยสันโดษ เวลาธุดงควัตร หน้าวัดนี้เกือบร้อยบาตร วันๆ หนึ่งน่ะ แล้วชาวบ้านเขามาใส่บาตรเขาก็นินทาในใจ แล้วเขามาสารภาพกับเราไง เขานินทาในใจว่าพระฉันไม่หมดหรอก แล้วพระขี้โลภ บิณฑบาตแล้วบิณฑบาตอีก เขาอึดอัดใจมาก เขาก็ตามเรามา ตามมาที่นี่แหละ แล้วเขาก็เห็นเราทำอย่างนี้ แล้วเขาก็ตามไปดูบนโต๊ะ ตามไปดูถึงที่สุดไง

เขาบอก โอ้โฮ! ข้าวแม้แต่เม็ดเดียวก็ไม่ให้เสียหายเลย ทุกอย่างเราตักใส่บาตรของพระแล้ว ก็ให้ประชาชนได้ทานอาหาร ทานอาหารเสร็จแล้ว ของของเรามันก็เพื่อคนงานของเรา คนงานที่ทำงานในวัด เหลือจากคนงานแล้วเราก็แจก แจกไป เหลือแต่เศษอาหาร เราก็หมักเป็นปุ๋ย

เราทำของเราเป็นประโยชน์หมด ที่จิตใจเป็นธรรม แต่กิเลสตัณหาความทะยานอยากมันไม่เห็นด้วย มันพยายามว่า ถ้าเสียสละต้องเสียสละกันเอาหน้าเอาตา เสียสละกัน โลก เวลากิเลสตัณหาความทะยานอยากมันเห็นแก่ตัวของมันไง ถ้าเห็นแก่ตัวของมัน ความเห็นแก่ตัวมันอยู่ที่การกระทำนั้น ถ้าเรารู้เห็นจริงหรือเปล่า ถ้าไม่เห็นจริงหรือเปล่า ความคิดความเห็นของมัน เห็นไหม พระทำไมโลภมาก พระทำไมโลภมาก

พระก็มาจากคน คนเรานะ ปัจจัย ๔ ดูสิ ถ้าเรารู้จักความประหยัดมัธยัสถ์นะ ที่นอน เราก็นอนแค่ที่นอนเราเท่านั้นแหละ บ้านหลังใหญ่หลังโตเอาไว้ให้คนใช้มันนอน บ้านหลังใหญ่หลังโตเอาไว้ดูแลรักษา มันก็แค่นั้นน่ะ แต่คนมันคิดไม่ได้ ด้วยความศักดิ์ศรีไง นี่ไง ดูเวลาฆราวาสเขากินอาหาร กินเพื่อเกียรติ กินเพื่อกาม กินเพื่อศักดิ์ศรี

แต่เวลาพระฉันเพื่อดำรงชีวิต ดำรงชีวิต ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า เหมือนล้อเกวียน หยอดแค่น้ำมันไม่ให้มันมีเสียงดังเท่านั้นน่ะ ดำรงชีวิตนี้ไว้ ดำรงชีวิตนี้ไว้ทำไม ดำรงชีวิตนี้เพื่อประโยชน์ไง ประโยชน์กับใคร ประโยชน์กับตัวเองก่อน ตัวเองนะ ทำภัตกิจเสร็จแล้วเข้าสู่โคนไม้ เข้าสู่เรือนว่าง ผู้ที่ได้ฌานสมาบัติเข้าฌานสมาบัติ ผู้ที่มีสติปัญญายกขึ้นวิปัสสนา ผู้ที่กระทำ ผู้ที่สิ้นกิเลสแล้วอยู่ในวิหารธรรม

ผู้ที่สิ้นกิเลสแล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาตลอดชีวิต หลวงปู่ขาว ครูบาอาจารย์เราท่านภาวนาของท่าน พระอรหันต์ท่านอยู่ในวิหารธรรมของท่าน การภาวนาของท่านคือเครื่องยนต์ของท่าน ท่านดูแลรักษาของท่าน ร่างกายของท่านเพื่อทำให้ร่างกายของท่านสมดุลของท่าน ท่านมีความสุขของท่านน่ะ ท่านมีความสุขของท่าน ท่านมีความสุขของท่าน จิตใจที่เป็นธรรมๆ เห็นไหม ฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้

ทีนี้การที่ว่า การที่เขาสะสม การที่เขาอะไร ดูเจตนา แล้วเวลาของเรา บอกให้ทุกคนเสียสละ ทุกคนเสียสละ ไอ้หัวหน้าเห็นแก่ตัวสะสมไว้เต็มเลย

สะสมไว้ให้คนอื่น คนเราก็แค่อิ่มปากอิ่มท้องเท่านั้นแหละ แค่ปากเดียวท้องเดียวเหมือนกันหมด แต่หัวใจที่เสียสละไง ถ้าหัวใจที่ไม่เสียสละ การเสียสละก็เสียสละเฉพาะของตนเอง เอาไว้แต่พรรคพวกของตน เอาไว้แต่กลุ่มชนของตน เอาไว้แต่พวกของตน

นี่ไม่ใช่ เวลาเราให้ไปแล้วนะ เราไม่รู้ไม่เห็นว่าไปถึงไหน ออกจากเราไปแล้ว ผู้ที่ดำเนินการไปเอง จะไปโรงเรียนไหน จะไปชุมชนไหนนั่นเรื่องของเขา เรื่องของเขา แต่มันมีหนังสือตอบรับมาตลอด หนังสือตอบรับมา เด็กที่มันได้ เราปล่อยไป พวกเราอิ่มหนำสำราญกันอยู่แล้ว มันเหลือแล้วเราถึงล็อกไว้ ถ้าไม่เหลือ เราไม่ล็อกไว้หรอก

นี่พูดถึงว่าเวลาน้ำใจ น้ำใจนะ แต่น้ำใจถ้าคนเขามองเขาบอก โอ้โฮ! เพราะอะไรนะ เพราะพฤติกรรมการกระทำกับคำพูดมันขัดแย้งกัน คำพูดบอกให้เสียสละๆ ดูสิ มันรอบตัวเลย มันเสียสละตรงไหน เสียสละทำไมรอบตัวเลย พวกนั้นนั่งกันตัวเปล่าๆ นี่รอบตัวเลย มันเสียสละตรงไหน

พฤติกรรมกับคำสอนมันขัดแย้งกัน มันขัดแย้งกันด้วยวัตถุ แต่มันไม่ขัดแย้งกันด้วยนามธรรม ด้วยหัวใจที่เป็นธรรม หัวใจที่เป็นธรรมนะ เพราะพอพ้นจากมือเราไปก็จบ เดี๋ยวพอฉันเสร็จแล้ว พ้นจากมือเราไป ทุกคนจะจัดการไป นี่พูดถึงว่า ถ้ามันไม่มีลับลมคนใน มันจะไม่มีลับลมคมในนะ

จากใจดวงหนึ่งสู่ใจดวงหนึ่ง เราแสวงหาครูบาอาจารย์ เราต้องแสวงหาครูบาอาจารย์จากใจที่เป็นธรรมใช้ไหม ถ้าเราแสวงหาครูบาอาจารย์จากใจที่ไม่เป็นธรรม คำสอนนั้นมันเจือไปด้วยอวิชชา มันเจือไปด้วยสมุทัย เพราะคนสอนมันลังเลสงสัย ความลังเลสงสัยเพราะเกิดมีอวิชชาในใจของตน เพราะเกิดความไม่รู้ในใจของตน มันเกิดความลังเลสงสัย แต่เวลาสอนๆ ไป สอนด้วยธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เอาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน แล้วเรา เขาสอนมา สอนด้วยเทคนิคทักษะของเขา ทักษะของเขามันมีอวิชชา มีความไม่รู้นั้น เอาความเป็นจริงขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามาสอน แต่ด้วยทักษะที่มีกิเลสตัณหาความทะยานอยาก ทักษะที่ไม่เป็นธรรมไง เวลาเราประพฤติปฏิบัติไปมันก็มีความขัดแย้ง เวลาประพฤติปฏิบัติไปมันจะมีความขัดแย้ง มันไม่มัชฌิมาปฏิปทา แล้วเราจะไปถามท่านว่า “ทำไมอาจารย์สอนอย่างนี้ล่ะ”

“อ้าว! ก็พระไตรปิฎกบอกไว้ว่าอย่างนั้น” เวลามันอ้าง “ก็ตำราบอกไว้อย่างนั้น ตำราบอกไว้อย่างนั้น”

ตำราบอกไว้อย่างนั้น ตำราเขาบอกว่า ปริยัติเขาให้ปฏิบัติ ปฏิบัติรู้จริงเห็นจริงแล้วค่อยมาสั่งสอนเขา เวลาเราศึกษามา ศึกษาเพื่อมาปฏิบัติ แต่ไม่ปฏิบัติไง ศึกษามาแล้วก็จะไปสั่งสอนเขา ไม่สั่งสอนตนไง เวลาตนเองไม่รู้จักสอน ตนเองไม่รู้จักมรรคไม่รู้จักผล ตนเองไม่รู้จักมีการกระทำ จิตใจอันนั้นมันถึงเศร้าหมองไง

จิตใจดวงนั้น ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อหัวใจของเราไง ถ้าเราฟังธรรมเพื่อหัวใจของเรา เราประพฤติปฏิบัติขึ้นมามันจะเป็นความจริงในใจของเรา ถ้าความจริงของเรา ในการประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ธมฺมสากจฺฉา เอตมฺมงฺคลมุตฺตมํ เวลาครูบาอาจารย์ของเราท่านสนทนาธรรมๆ สนทนาธรรมเพื่อเหตุนี้ สนทนาธรรม ใครทำสมาธิได้ สมาธิเป็นอย่างไร ว่างๆ ว่างๆ ว่างๆ อวกาศมันก็ว่าง ว่างๆ ในตุ่มในไหมันก็ว่าง ว่างๆ ว่างๆ อย่างไร

ว่างๆ มันต้องมีเหตุผลสิ ว่างๆ ตัวเราต้องมีสติสัมปชัญญะสิ เราเป็นเจ้าของทรัพย์สิน เราไม่รู้จักทรัพย์สินมีมูลค่าอย่างไรหรือ ถ้าเราไม่มีปัญญา ไม่มีสติปัญญารู้จักมูลค่าของทรัพย์สินนั้น เราจะรักษาทรัพย์สินนั้นไหม ทรัพย์สินนั้นมีค่าขึ้นมา ทรัพย์สินมันมีค่ามากน้อยขนาดไหน

สมาธิ ขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ มันจะมีมูลค่า มีคุณค่ามากน้อยขนาดไหน ถ้าเรามีขณิกสมาธิ มันเข้าชั่วคราวๆ พอความสงบเข้าสู่ความระงับเท่านั้น เราจะทำเพื่อประโยชน์ขึ้นมามันทำเพื่อประโยชน์ขึ้นมาไม่ได้ แต่ถ้าเราสะสมขึ้นไปให้มูลค่ามันเพิ่มขึ้น มันมีกำลังมากขึ้นเป็นอุปจารสมาธิ อุปจารสมาธิมันมีกำลังของมัน มันสามารถยกของได้ มันสามารถยกหัวใจนี้ขึ้นสู่วิปัสสนาได้ ถ้ามันยกหัวใจขึ้นสู่วิปัสสนา นั่นน่ะอุปจารสมาธิ มันเกิดปัญญาขึ้นมา

ถ้าเกิดปัญญาขึ้นมา ถ้าเกิดปัญญา เราพิจารณาของเราแล้ว พิจารณาไปแล้วกำลังมันไม่พอ กำลังมันไม่พอ เหมือนมีดของเรา วัตถุของเรา สิ่งของของเราที่ใช้ประโยชน์ มันใช้ประโยชน์ มันไม่สมประโยชน์ มันใช้ไม่ได้ มีดของเรามันไม่คม มีดของเรามันทื่อ มีดของเรามันใช้ประโยชน์ไม่ได้ เราก็ต้องกลับมาทำความสงบของใจให้มากขึ้น ถ้าทำความสงบของใจให้มากขึ้นเพื่ออะไร เพื่อลับมูลค่า เพื่อความมีค่าของมันให้มากขึ้น ถ้ามีมากขึ้นขึ้นไป ถ้ายกสู่วิปัสสนา ถ้าทำไม่ได้ กลับมาทำอัปปนาสมาธิ อัปปนาสมาธิเพื่อให้จิตมันสงบระงับเข้ามา

ถ้าคนที่มันทำมันไม่รู้จักมูลค่า ไม่รู้จักคุณค่า ไม่รู้จักสิ่งใดเลย มันจะมีคุณค่าตรงไหนล่ะ คุณค่าของมันต้องมีคุณค่าของตัวมันเองสิ ศีล สมาธิ ปัญญา

ศีล สมาธิ ปัญญา มันเป็นทฤษฎี เป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เวลามันจะเกิดกับเรานะ คนเรานะ สมบุกสมบันทุกข์ๆ ยากๆ แต่ถ้าเราฝึกหัดของเรา พอมีสติ มันทันความคิดเรา ความคิดที่มันเกิดที่มันเผาลนเรามันดับหมดเลย ดับเพราะอะไร เพราะสติมันเท่าทัน สติมันเท่าทันนะ เหมือนคนมีสติ คนมีสติ ไฟๆๆ เราจะไปตระครุบไฟไหม เราจะไปจับไฟไหม ถ้าเรารู้ว่าไฟ เราก็ยืนห่างๆ สิ ถ้ารู้ว่าไฟ เราก็เดินหลีกหนีมันไปสิ นี่ไง ถ้ามันมีสติสัมปชัญญะ มันรู้ทันอย่างนั้นน่ะ ถ้ามันรู้ทันอย่างนั้น จิตมันจะเสวยอารมณ์ไหม จิตมันจะเข้าไปหาความทุกข์ไหม นี่ถ้ามันมีมูลค่าในตัวของมัน มันมีการกระทำในตัวของมัน นี่สติ

แล้วถ้าทำความสงบของใจเข้ามา มันมีสัมมาสมาธิ สัมมาสมาธิมันก็จิตตั้งมั่น จิตมันอบอุ่นไง จิตธรรมดานี่แหละ จิตเหมือนเด็กน้อย เด็กน้อยไปทิ้งไว้ที่ไหนมันจะร้องไห้ มันจะไม่มีที่พึ่งที่อาศัยของมัน ผู้ใหญ่ไปอยู่ที่ไหน ผู้ใหญ่กลับบ้านได้

นี่ก็เหมือนกัน พอจิตมันพิจารณาเข้ามา มันไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใคร จิตที่ไม่พึ่งพาอาศัยใครก็จิตปัจจุบันนี้ เวลาจะนึกคิด จิตมันอยู่ที่รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ จิตไปอยู่ที่สัญญาอารมณ์ จิตมันอยู่ที่สังขารปรุงแต่ง จิตมันไปอยู่ที่นั่นหมดเลย เหมือนเด็กน้อยมันต้องพึ่งพาอาศัยเขาหมดเลย มันรักษาตัวมันไม่ได้เลย แล้วเราหัดพุทโธๆ ใช้ปัญญาอบรมสมาธิ แล้วมันพึ่งพาอาศัยตัวมันได้น่ะ มันก็ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใครเลย สัมมาสมาธิคือจิตตั้งมั่น จิตที่ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยอารมณ์ใดๆ ทั้งสิ้น

กรรมฐาน ๔๐ ห้อง พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ มรณานุสติ เทวดานุสติ เราพึ่งพาอาศัยหมด เราพึ่งพาอาศัยพุทธะ เราพึ่งพาอาศัยองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พุทธานุสติ ระลึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หายใจเข้านึกพุท หายใจออกนึกโธ อานาปานสติ พึ่งพาอาศัยลมหายใจ พึ่งพาอาศัยลมหายใจ คนที่ภาวนาเป็น

คนที่ภาวนาไม่เป็นไม่รู้ อานาปานสติเป็นอย่างไร ลมเป็นอย่างไร ก็ลมพายุไง ลมพายุอยู่ข้างนอกนู่น แต่ถ้าจิตมันเกาะลมหายใจเข้าและลมหายใจออก พึ่งพาอาศัย จิตที่ยังพึ่งพาตัวเองไม่ได้มันให้กิเลสตัณหาความทะยานอยากฉุดกระชากมันไป ความคิดร้อยแปดทุกข์ทั้งนั้น ทุกข์ด้วยตัณหาความทะยานอยาก

แต่เราก็ใช้ความคิดเหมือนกัน ความคิดที่มันสกปรกนี่ แต่ให้ระลึกถึงพุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ คือกรรมฐาน ๔๐ ห้อง วิธีการทำความสงบของใจ ๔๐ วิธีการ เราก็ฝึกหัดใจของเรานะ ที่มันพึ่งพาอาศัยใครไม่ได้เลยก็มาพึ่งพาอาศัยพุทธะ มาพึ่งพาอาศัยกรรมฐาน ๔๐ ห้องนี้ซะ พึ่งพาอาศัย แล้วถ้ามันทรงตัวได้ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใครเลย สมาธิตั้งมั่น ไม่ต้องพึ่งพาอาศัยใครเลย แล้วสุขสงบเย็น

สุขอื่นใดเท่ากับจิตสงบไม่มี ความสงบระงับอันนี้มีความสุขมหาศาล มีคุณค่าที่โลกเทียบไม่ได้ ไม่มีสิ่งใดเทียบมูลค่าอย่างนี้ได้ มูลค่าอย่างนี้มันมีมูลค่าอยู่ในจิตของคน แล้วถ้าเขายกขึ้นสู่วิปัสสนา บุคคล ๔ คู่ ใจดวงหนึ่งเป็นโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกิทาคามิมรรค สกิทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตตมรรค อรหัตตผล บุคคล ๔ คู่ ใจดวงนี้เป็นบุคคล ๔ คู่ เป็นบุรุษ ๘ เพื่อพ้นจากมรรค ๔ ผล ๔ ขึ้นไปเป็นนิพพาน ๑ มันเป็นความมหัศจรรย์ขนาดไหน

แต่เราก็ศึกษาตำรากันเท่านั้นเองไง ตำราบอกไว้อย่างนี้ แต่เป็นอย่างไรไม่รู้ ก็สอนตามตำรา ตำราบอกอย่างนี้ ก็ตำราบอกไว้ ไม่มีใครรู้ แต่ถ้าเราประพฤติปฏิบัติมันจะเป็นจริงขึ้นมา มันมีมูลค่าจริงไง นี่มันมีมูลค่าจริง

เริ่มต้นความคิดทุกข์ๆ ยากๆ นี่แหละ แต่ความคิดทุกข์ๆ ยากๆ ถ้ามันได้ชำระล้างสะสางแล้วมันจะสะอาดบริสุทธิ์ของมัน ถ้ามันสะอาดบริสุทธิ์ มันก็เอาความคิดนี่แหละ แต่ความคิดที่สะอาดบริสุทธิ์เอามาใช้ประโยชน์ไง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมมา ๔๕ ปี เวลาท่านสื่อสารกับเราด้วยมุขปาฐะคือพูดด้วยปาก มันก็เป็นคำพูดนี่แหละ แต่คำพูดที่จากใจที่สะอาดบริสุทธิ์ไง แต่ใจที่มันยังสกปรกโสมมอยู่นี่ไง มันพาให้คำพูดมันบิดเบือนไง พาให้คำพูดมันเป็นสารพิษไง คำพูดมีแต่ถากถางคนอื่นไง แต่ถ้าคำพูดขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คำพูดของครูบาอาจารย์ มันถากถางกิเลสน่ะ มันถากถางความเศร้าหมองน่ะ

ไอ้ที่มันทุกข์ๆ อยู่นี่ เวลาเราบ่นกันว่าทุกข์ๆๆ ไปปรึกษาครูบาอาจารย์ก็บอกไม่ถูก แต่ถ้าครูบาอาจารย์ที่ได้กำจัดทุกข์นั้นแล้ว ได้สละคายมันแล้ว ได้ทำลายมันแล้ว ทำไมท่านบอกเราไม่ได้ เวลาท่านบอกเราได้ขึ้นมา ท่านก็บอกว่า เริ่มต้นครูบาอาจารย์ที่ท่านเป็นจริงท่านบอกว่า ทำความสงบของใจเข้ามาก่อน ถ้าใจสงบแล้ว เครื่องมือของเรา เราจะใช้สอยเครื่องมือแพทย์ต้องอบก่อนนะ มันมีเชื้อโรค ไปผ่าตัดตายหมดนะ เครื่องมือที่จะใช้ เราจะทำหน้าที่สิ่งใด เครื่องมือ เราได้เตรียมพร้อมหรือยัง เราจะทำหน้าที่การงาน เราได้เตรียมพร้อมมีเครื่องมือบ้างหรือยัง

ถ้าไม่มีเครื่องมือจะไปทำงานอะไร ก็นั่งมองไง จินตนาการเอาไง แล้วก็คิดว่างานฉันเสร็จแล้วไง กองอยู่นั่นไม่มีอะไรขยับเลย แต่ถ้าทำความสงบของใจเข้ามาก่อน เครื่องมือของเรา เครื่องมือของเรา เราอบ เราทำความสะอาด เราเตรียมพร้อม แล้วเครื่องมือนี้ จิตแก้จิต จิตดวงนี้มันจะเข้าไปชำระ เข้าไปสะสาง เข้าไปสำรอก เข้าไปคายตัวมันไง

ภวาสวะ เวลาเราบอกว่า ความรู้สึกนึกคิด ความคิดทำให้เราทุกข์เรายากไง แต่จริงๆ ความคิดมันเกิดที่ไหน ความคิดมันเกิดจากจิต ความคิดของเราเกิดจากหัวใจของเรา ความคิดของคนอื่นเกิดจากใจของคนอื่น ใจดวงนั้นคือภวาสวะ ใจดวงนั้นคือภพ ใจดวงนั้นคือโลกทัศน์ ใจดวงนั้นเป็นเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ ถ้าจิตมันสงบเข้ามาแล้วมันจะเข้ามาสู่ตรงนั้น แล้วมันจะเข้าไปทำลายตรงนั้น มันจะเป็นประโยชน์กับตรงนั้นไง

ฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ เราขวนขวายกันมา เราเสียสละทานๆ เสียสละทานขึ้นมาก็เพื่อมีโอกาสได้ฟังธรรมอย่างนี้ ฟังธรรมอย่างนี้แล้วก็ย้อนกลับมา ผู้พูด กาลามสูตร จริงไหม คนพูดน่ะมันทำเป็นหรือเปล่า คนพูดที่มันสอนมันโง่หรือมันฉลาด ถ้ามันโง่มันก็จะพาฝูงโคนั้นลงไปสู่วังน้ำวน มันจะพาพวกนักปฏิบัตินั้นลงไปสู่ความตายทั้งหมด ลงสู่ไม่มีมรรคไม่มีผล ถ้ามันฉลาดมันจะพาฝูงโคนั้นขึ้นฝั่ง มันจะพาหัวใจนั้นให้พ้นจากความครอบงำของอวิชชา มันจะพาหัวใจดวงนั้นขึ้นสู่สัจธรรม มันจะพาหัวใจดวงนั้นขึ้นไปสู่ความเป็นจริงไง

ฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อเหตุนี้ ฟังธรรมเพื่อหัวใจของเรา แล้วเราฟังธรรมแล้ว ถ้าจิตใจมันฟังนะ จิตใจมันลงใจแล้วรับฟัง รับฟังแล้วเอาไปพิจารณา อย่าเชื่อ เพราะมันไม่ใช่สมบัติของเรา ก็ฟังเขามา ก็เด็กๆ พ่อแม่มันเล่านิทานให้ฟัง แล้วมันก็นอนหลับสบาย

นี่ก็เหมือนกัน ครูบาอาจารย์ท่านเทศนาว่าการให้ฟัง จำไว้ แล้วไปไตร่ตรอง แล้วไปแยกแยะ เอาแต่เนื้อๆ ของใจดวงนั้น ใจดวงนั้นแยกแยะ นั่นน่ะคือปัญญาของตน ปัญญาของตนฝึกหัดขึ้นมา ให้มันแยกให้มันแยะ ให้มันพิจารณาของมันเพื่อประโยชน์กับใจดวงนั้น ไม่ให้เชื่อใครทั้งสิ้น เชื่อจากศีล สมาธิ ปัญญากับใจดวงนั้น เอวัง